10. Estadio Centenario, Montedvideo, Uruguay
เป็นสนามฟุตบอลที่เก่าแก่ของโลก เริ่มก่อสร้างเมื่อ 21 กรกฎาคม 1929 และเปิดใช้งานเมื่อ 18 กรกฎาคม 1930 มีความจุประมาณ 76,609 คน โดยสถิติผู้ชมสูงสุด 93,000 คน (เกมส์ที่อุรุกวัยแข่งกับยูโกสลาเวีย เมื่อ 21 กรกฎาคม 1930) ฟีฟ่ายกย่องให้สนามแห่งนี้เป็นหนึ่งในสนามที่คลาสสิก และเมื่อ 28 กรกฎาคม 1983 ฟีฟ่าประกาศให้สนามแห่งนี้เป็นอนุสาวรีย์ประวัติศาสตร์ของฟุตบอลโลก ทีมชาติอุรุกวัยมักจะใช้สนามแห่งนี้ลงเล่นในเกมส์เหย้า นอกจากนี้ยังเคยใช้จัดแข่งขันในรายการสำคัญคือ เป็นสนามแข่งขันฟุตบอลโลกปี 1930 รวมถึงเกมส์นัดชิงที่อุรุกวัยเจออาร์เจนตินา และการแข่งขันโคปา อเมริกา ปี 1942, 1956, 1967และ 1995
9. Azadi Stadium, Tehran
เริ่มก่อสร้างเมื่อ 1 ตุลาคม 1970 และเปิดใช้งานเมื่อ 18 ตุลาคม 1973 ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้แข่งขันเอเชี่ยนเกมส์ปี 1974 ในอดีตเคยมีความจุกว่า 100,000 คน ปัจจุบันถูกปรับปรุงให้มีความจุประมาณ 78,116 คน โดยสถิติผู้ชมสูงสุด 128,000 คน (เกมส์ที่อิหร่านเจอกับออสเตรเลียเมื่อ 22 พฤศจิกายน 1997) สนามแห่งนี้มักใช้เป็นสนามเหย้าของทีมชาติอิหร่าน และเป็นสนามเหย้าของทีมเอสเตกัล และ ทีมเปอร์เซโปลิส สโมสรในลีกสูงสุดของอิหร่าน นอกจากนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของ Azadi Sport Complex ศูนย์กีฬาที่ใหญ่ที่สุดในประเทศอิหร่าน อีกทั้งยังเคยใช้จัดแข่งขันในรายการสำคัญคือ เอเชียนคัพ ปี 1976 และนัดชิงรายการ เอเอฟซี แชมเปียนส์ลีก ปี 1999 และ 2002
8. Estadio da Luz, Lisbon
สนามแห่งนี้เป็นสนามที่สร้างขึ้นใหม่แทนที่สนาม Estadio da Luz เดิม เริ่มเปิดใช้งานเมื่อ 25 ตุลาคม 2003 มีความจุประมาณ 64,642 คน ในขณะที่สนามเดิมมีความจุถึง 120,000 คน ชื่อของสนามมีความหมายเป็นภาษาอังกฤษคือ "Stadium of Light" ใช้เป็นสนามเหย้าของสโมสรเบนฟิกา โดยแฟนบอลของเบนฟิกา มักจะเรียกในอีกชื่อหนึ่งว่า Catedral (The Cathedral) or O Inferno da Luz. (อาสนวิหาร) สนามแห่งนี้เคยใช้จัดแข่งขันในรายการสำคัญคือ สนามแข่งขันในชัดชิงฟุตบอลยูโร 2004 และนัดชิงฟุตบอลยูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีก ในปี 2014
7. Allianz Arena, Munich
เริ่มก่อสร้างเมื่อ 21 ตุลาคม 2002 และเปิดใช้งานเมื่อ 30 พฤษภาคม 2005 มีความจุประมาณ 75,000 ที่นั่ง สำหรับการแข่งขันในรายการบอลลีกภายในประเทศ หากเป็นการแข่งขันระดับนานาชาติ จะลดความจุลงเหลือประมาณ 70,000 ที่นั่ง Allianz Arena เป็นสนามที่ได้รับการโหวตจากชาวเมืองมิวนิคในการร่วมกันสร้างสนามแห่งใหม่ขึ้นเพื่อใช้สำหรับการแข่งขันฟุตบอลโลกปี 2006 ที่เยอรมนี ถือเป็นสนามที่มีความทันสมัยมากๆ เป็นสนามกีฬาแห่งแรกที่สามารถเปลี่ยนสีอาคารภายนอกสนามได้แบบเต็มรูปแบบ สนามแห่งนี้ใช้เป็นสนามเหย้าของ 2 สโมสรคือสโมสรบาเยิร์นมิวนิค และ 1860 มิวนิค นอกจากนี้ยังใช้เป็นสนามแข่งขันของทีมชาติเยอรมนี โดยนัดไหนที่บาเยิร์น เป็นเจ้าบ้านสนามจะเปลี่ยนเป็นสีแดง หากนัดไหน 1860 มิวนิคเป็นเจ้าบ้านสนามจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน และหากนัดไหนทีมชาติเยอรมนีใช้แข่งจะเปลี่ยนเป็นสีขาว สนามแห่งนี้เคยใช้จัดแข่งขันในรายการสำคัญคือ เป็นสนามแข่งขันฟุตบอลโลกปี 2006 นัดชิงฟุตบอลยูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีก ในปี 2012 และจะใช้เป็นสังเวียนฟาดแข้งในรายการฟุตบอลยูโร 2020
6. Wembley Stadium,London
เริ่มก่อสร้างเมื่อปี 2002 เปิดใช้งานอย่างเป็นทางการเมื่อ 9 มีนาคม 2007 มีความจุประมาณ 90,000 ที่นั่ง ถือเป็นสนามที่มีความจุมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของทวีปยุโรป เป็นสนามที่สร้างขึ้นใหม่แทนที่สนามเวมบลีย์เดิม ในบางครั้งจะเรียกว่า นิวเวมบลีย์ เพื่อให้มีชื่อต่างจากสนามเดิม เวมบลีย์ จะถูกใช้เป็นสนามในเกมส์รอบรองและรอบชิงชนะเลิศฟุตบอล เอฟเอคัพ นัดชิงลีกคัพ และเคยใช้จัดนัดชิงฟุตบอลยูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีก ในปี 2013 ฟุตบอลในโอลิมปิคเกมส์ปี 2012 และใช้เป็นสนามเหย้าของทีมชาติอังกฤษ นอกจากนี้จะใช้เป็นสนามเหย้าชั่วคราวของสโมสรฟุตบอลทอตแนมฮอตสเปอร์ ในระหว่างสโมสรก่อสร้างสนามแห่งใหม่ อีกทั้งจะใช้เป็นเกมส์การแข่งขันรอบรอง และรอบชิงรายการฟุตบอลยูโร 2020
5. Maracana Stadium, Rio de Janeiro
เริ่มก่อสร้างเมื่อ 2 สิงหาคม 1948 เปิดใช้งานอย่างเป็นทางการเมื่อ 16 มิถุนายน 1950 ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ในการแข่งขันฟุตบอลโลกปี 1950 ที่บราซิล และยังใช้เป็นสนามแข่งขันในนัดเปิดสนามและชิงฟุตบอลโลกปีดังกล่าว โดยนัดเปิดสนามมีผู้เข้าชมถึง 199,854 คน ถือเป็นสถิติที่มีผู้เข้าชมสูงสุดของโลก แต่หลังจากเหตุการณ์อัฒจันทร์ถล่มลงมาจนมีผู้เสียชีวิต 3 รายเมื่อปี 1992 ทำให้มีการปิดปรับปรุงสนามเสียใหม่จนปัจจุบันถูกปรับให้เหลือความจุประมาณ 78,639 คน นอกจากจะเป็นสังเวียนฟาดแข้งในฟุตบอลโลกปี 1950 ยังใช้เป็นสังเวียนฟาดแข้งในฟุตบอลโลกปี 2014รวมถึงเกมส์นัดชิงด้วย และใช้เป็นสนามที่ใช้จัดพิธีเปิดและพิธีปิดโอลิมปิกเกมส์ปี 2016
4. Stade Louis II, Monaco
สนามเหย้าของทีม โมนาโก ทีมดังจากลีกเอิง ที่มีความจุอยู่ราว 18,500 ถือเป็นอีกหนึ่งในสนามที่สวยที่สุดทั้งตัวสนามเองและที่ตั้งของสนามที่ติดกับชายฝั่งทะเล เริ่มก่อสร้างในปี 1980 และเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการในวันที่ 25 มกราคม 1985 รวมทั้งยังเคยใช้แข่งบอลยุโรปถ้วยเล็กอย่างยูฟ่าคัพอยู่บ่อยๆ
3. National Stadium, Kaohsiung , Taiwan
เป็นสนามกีฬาที่ใช้แข่งขันกีฬาหลายๆ ประเภท เปิดใช้งานในเดือนพฤษภาคม 2009 มีความจุประมาณ 55,000 คน ถูกใช้ในการแข่งขัน World Games ปี 2009 และใช้เป็นสนามเหย้าในการแข่งขันฟุตบอลบางเกมส์ของทีมชาติใต้หวัน จุดเด่นของสนามแห่งนี้คือมีลักษณะโครงสร้างคล้ายมังกร และมีหลังคาที่ติดตั้งด้วยแผงเซลล์แสงอาทิตย์เพื่อใช้ผลิตไฟฟ้า ถือได้ว่าเป็นสนามที่มีความสวยงาม ทันสมัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
2. Estadio Municipal de Braga, Braga, Portugal
เริ่มก่อสร้างเมื่อปี 2003 เปิดใช้งานอย่างเป็นทางการเมื่อ 30 ธันวาคม 2003 มีความจุประมาณ 30,286 คนใช้เป็นสนามเหย้าของสโมสรบราก้า และใช้เป็นสนามแข่งขันฟุตบอลยูโร 2004 ที่โปรตุเกส อีกทั้งยังเป็นสนามเหย้าของทีมชาติโปรตุเกสในบางโอกาส จุดเด่นของสนามนี้คือความสวยงามของทิวทัศน์รอบล้อมไปด้วยหุบเขา สิ่งพิเศษสุดๆสำหรับสนามแห่งนี้คือการใช้เงินไปถึง 83 ล้านยูโร ในการขุดเจาะหุบเขาเพื่อสร้างสนามแห่งนี้
1. Pancho Arena, Felcsut, Hungary
เริ่มก่อสร้างเมื่อปี 2012 เปิดใช้งานอย่างเป็นทางการเมื่อ 21 เมษายน 2014 มีความจุเพียง 3,500 คน ในขณะที่ประชากรที่อาศัยในหมู่บ้านที่เป็นพื้นที่ตั้งของสนามมีเพียงประมาณ 1,700 คนเท่านั้น สนามแห่งนี้ใช้เป็นสนามเหย้าของสโมสร Puskás Akadémia FC แม้สนามแห่งนี้จะมีขนาดเล็ก แต่เต็มเปี่ยมไปด้วยสถาปัตยกรรมที่สวยงาม ภายในสนามมีทั้งส่วนที่เป็นโบสถ์ พิพิธภัณฑ์ และศูนย์กีฬา